วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

www.atubon.blogspot.com ที่นี่อุบล เว็บมุมมองใหม่ของชาวอุบล

ขอเชิญชวนพุทธศาสนิก ผู้ใจบุญ และมีจิตศรัทธา ร่วมสั่งสมบุญ เปลี่ยนเงินเป็นทุน เปลี่ยนทุนเป็นธรรม 
สร้างอาคารที่พักผู้เข้ารับการอบรม 3 ชั้น (อาคารปฏิบัติธรรม)
เริ่มก่อสร้าง 27 พฤศจิกายน 2554
ค่าก่อสร้างทั้งหมดระยะแรก 5 ล้านบาทเศษ 
ณ ศูนย์พุทธธรรมพรหมวชิรญาณ
(ศูนย์พัฒนาคุณธรรมป่าดงใหญ่วังอ้อ)
ต.หัวดอน  อ.เขื่องใน  จ.อุบลราชธานี


เขียนโดย kunnuy

วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555



ที่นี่เร็วๆนี้
เขียนโดย TAP TAP Broadcasting

Miracle Isan ฉลองครบรอบ 111 ปี แห่เทียนเมืองอุบล“111 ปี ลือเลื่อง ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม งามล้ำเทียนพรรษา ภูมิปัญญาชาวอุบลฯ”


          การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และจังหวัดอุบลราชธานี เตรียมพร้อม สำหรับงานประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี ประจำปี 2555 ภายใต้ชื่องาน “111 ปี ลือเลื่อง ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม งามล้ำเทียนพรรษา ภูมิปัญญาชาวอุบลฯ” ซึ่งมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมชื่นชมตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมจนถึงต้นสิงหาคม 2555 ทั้งนี้เพื่อให้สมกับงานประเพณีที่จัดติดต่อกันมา เป็นครั้งที่ 111 ในปี 2555  และเผยแพร่ให้เป็น Miracle Isan การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และจังหวัดอุบลราชธานีรวมทั้งคณะกรรมการฝ่ายต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ได้สร้างสรรค์กิจกรรมมากมายให้นักท่องเที่ยวร่วมชื่นชมและมีส่วนร่วมในงานประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี โดยกำหนดห้วงเวลาของกิจกรรมสำคัญๆ ดังนี้

 20 กรกฎาคม – 5 สิงหาคม 2555   งานแสดงประติกรรมเทียนนานาชาติ ครั้ง 7  จากศิลปิน 9 ประเทศทั่วโลก ที่กรรมการคัดเลือกจากผู้สมัครกว่า 60 คน ณ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอุบลราชธานี  รวมทั้งร่วมทำกิจกรรมศิลปะกับเยาวชนที่เป็นศิลปินสมัครเล่นจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของเมืองไทย

 23-31  กรกฎาคม 2555  การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานอุบลราชธานี  ร่วมกับคุ้มวัดในเมืองอุบลฯ จัด กิจกรรมเยือนชุมชน คนทำเทียน ให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมสร้างสรรค์และชื่นชมความงดงามของการ ประดิษฐ์และตกแต่งต้นเทียน ทั้งประเภทติดพิมพ์และแกะสลักตามคุ้มวัดต่างๆในเมืองอุบลฯ

1-3  สิงหาคม 2555 ชม การแสดงขบวนแห่เทียนประกอบแสงและเสียง  ตั้งแต่เวลา 19.00 น.  ณ ถนนหน้าวัดศรีอุบลรัตนาราม

2  สิงหาคม 2555 พิธีอัญเชิญเทียนพรรษาพระและผ้าอาบน้ำฝนพระราชทาน ทางชลมารค ณ ท่าน้ำตลาดใหญ่ ลำน้ำมูล ตั้งแต่เวลา 14.00 น.

2  สิงหาคม 2555 – ร่วมงานพาแลง พร้อมชมการประกวดสาวงามเทียนพรรษา
- การแสดง ดนตรีมหาดุริยางค์ 
-  แสดงต้นเทียนที่ส่งเข้าประกวดทั้งหมด  บริเวณถนนรอบทุ่งศรีเมือง
-กิจกรรมมหาเวียนเทียนวันอาสาฬหบูชา

3 สิงหาคม 2555  ชมขบวนแห่เทียนพรรษากว่า 70 ต้น ประกอบขบวนฟ้อนรำอันยิ่งใหญ่ของชาวอุบลฯ  ตามเส้นทางถนนอุปราชบริเวณ หน้าวัดศรีอุบลรัตนาราม ขึ้นไปทางทิศเหนือ เป็นระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตร

3 – 5 สิงหาคม 2555  สำหรับผู้ที่พลาดชมวันสำคัญ  สามารถมาชมต้นเทียนพรรษาที่ได้รับรางวัล ซึ่งตั้งโชว์ที่บริเวณ หน้าเทศบาลนครอุบลร่วมสนุกกับการ up –post-shared ส่งภาพถ่ายในหัวข้อ “ แสงสว่างของฉัน  (I like…Your  light)  ในเฟสบุคของ ททท. ที่ www.facebook/page/ubon-Wax-Fest  ชิงรางวัลที่พักโรงแรมหรูในเมืองอุบล 3 วัน 2 คืน

ทั้งหมดนี้คือกิจกรรมสำคัญ ที่ ททท. และจังหวัดอุบลราชธานีได้รังสรรค์ขึ้นในโอกาสพิเศษครบรอบการจัดงานประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี 111 ปี เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะมาเยือนจังหวัดอุบลราชธานีในห้วงเวลาของการจัดงานประเพณีดังกล่าว และที่พิเศษสุดสำหรับปีนี้ คือการเปิดที่นั่งบนอัฒจรรย์สำหรับนั่งชมขบวนแห่เทียนให้นักท่องเที่ยวได้นั่งชมฟรีทุกที่นั่ง  ส่วนบริษัททัวร์ที่มาเป็นคณะฯ สามารถจองที่นั่งฟรีที่สำนักงานจังหวัดอุบลราชธานี

นับเป็นความคุ้มค่า ของนักท่องเที่ยว ที่จะเดินทางร่วมงานประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานีในปี 2554 นี้   ซึ่งทางจังหวัดอุบลราชธานี การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เตรียมพร้อมสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะมาเยือน  สามารถสอบถามความคืบหน้าและรายละเอียดการจัดงานเพิ่มเติมได้ที่  การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานอุบลราชธานี  (ททท.สอบ.) โทรศัพท์  045-243770,250714  หรือ www.tatubon.org

เพลง เทียนพรรษางามตาที่อุบลฯ



คำร้อง ทำนอง : อารมย์ บุญห่อ
ดนตรี เรียบเรียง : ธนกฤต จงจิตต์

........จากลำโขงเชื่อมโยงแม่มูลไหลผ่าน
สร้างตำนานดอกบัวบานสืบสานแสงธรรม
เยือนชุมชนคุ้มบ้านวัดจัดร้อยลำนำ
ประเพณีล้ำงานแห่เทียนเข้าพรรษา

........ชาวอุบลฯ ใช้ธรรมนำสร้างวิถี
ประเพณีชี้นำทางสร้างบ้านแปลงเมือง
หลอมเทียนชัยสู่กลางใจให้ไทยรุ่งเรือง
ขบวนแห่เทียนลือเลื่อง สาวเยื้องกรายร่ายรำงามตา

........ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม งามล้ำเทียนพรรษา
เชิดชูบูชาภูมิปัญญาของชาวอุบลฯ
มาเด้อขวัญเอยมาเด้อรับขวัญเอาชัย
สู่ขวัญร้อยพันดวงใจ ผูกฝ้ายขาวกินข้าวพาแลง

........มาอุบลฯ บ้านเฮา ฮวมงานวันเข้าพรรษา
แห่เทียนฟ้อนรำงามตา เข้าพรรษาที่เมืองอุบลฯ

--------------------------------
นายอารมย์ บุญห่อ : ขับร้อง
นายสมพงษ์ อยู่อิ่ม : ขับร้อง
นางธนพร ชนะกุล : ขับร้อง
ร้อยเอกหญิงวรรณนัตน คล้ำมีศรี : ขับร้อง

นายอนุวงศ์ เฉลียวธรรม : พิณ แคน
นายทิวากร ธรรมมา : โปงลาง โหวด พิณ
นายวิวัฒน์ คำป้อง : แซ็กโซโฟน
นายประสิทธิ์ สายสุวรรณ : ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
นายธงชัย แสนทวีสุข : ผู้ประสานงานจาก ททท. สนง. อุบลราชธานี
นายธนกฤต จงจิตต์ : โปรดิวเซอร์
ห้องบันทึกเสียง Yellow Studio : บันทึกเสียง
นายเฉลิมชัย จันทรเสนา : ประชาสัมพันธ์จังหวัดอุบลราชธานี
นางกัลยกร แป้นสกุล : อำนวยการผลิต

เขียนโดย TAP TAP Broadcasting



อุบลราชธานี

สามพันโบก อุบลราชธานี

สามพันโบก

สามพันโบก อุบลราชธานี

อุบลราชธานี

สามพันโบก อุบลราชธานี

อุบลราชธานี

อุบลราชธานี
 
เที่ยวแบบหิน หิน ในถิ่นอีสาน อุบลราชธานี (คู่หูเดินทาง)

          ใช่ว่าช่วงหน้าร้อนจะไม่มีอะไรสวย ๆ ให้ดูกัน เพราะทุกสิ่งย่อมมีสองด้านเสมอ วันนี้เราเลยขอพาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ ภาคอีสาน กันบ้าง โดยประเดิมที่ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งถือว่าเป็นจังหวัดที่มีเนื้อที่มากที่สุดในประเทศไทย ก่อนที่จะถูกแบ่งเนื้อที่ออกเป็นจังหวัดยโสธรและจังหวัดอำนาจเจริญ อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 629 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 8-10 ชั่วโมง 

          สถานที่ท่องเที่ยวที่จังหวัดนี้มีให้เลือกเที่ยวกันหลายแบบ จะไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชมโบราณสถาน เที่ยวชมความงามตามธรรมชาติ ดูวิถีชีวิตของชาวบ้าน งานหัตถกรรม หรือจะเที่ยวกันตามประเพณี จังหวัดนี้ไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน และเพื่อให้เข้ากับอุณหภูมิอากาศร้อน ๆ อันแสนยาวนานของบ้านเรา ณ ขณะนี้ เราเลยพาคุณไปตะลุยองศาความร้อนกันมากยิ่งขึ้นกับการท่องเที่ยวทางธรรมชาติของทริป "เที่ยวแบบหิน หิน ในถิ่นอีสาน" ชมประติมากรรมทางธรรมชาติของก้อนหินและสายน้ำที่สร้างสรรค์ไว้ให้เราได้ชมกันอย่างงดงามแสนประทับใจ

สามพันโบก
 
สามพันโบก อุบลราชธานี

อุบลราชธานี
 
อุบลราชธานี
 
          เริ่มกันที่ สามพันโบก ซึ่งอยู่ห่างจากจังหวัดอุบลราชธานีประมาณ 120 กิโลเมตร เป็นกลุ่มหินทรายที่เรียงตัวทอดยาวเป็นสันดอนขนาดใหญ่พื้นที่กว่า 30 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ของ "โบก" เกิดจากการที่กระแสน้ำได้พัดพาก้อนกรวด หิน ทราย และเศษไม้ กัดเซาะขัดแผ่นหินทรายให้เกิดเป็นหลุมแอ่ง มีขนาดเล็กและขนาดใหญ่จำนวนมากมาย สำหรับในช่วงหน้าแล้ง สามพันโบก จะโผล่พ้นน้ำให้เห็นคล้ายเป็นภูเขากลางลำน้ำโขง ความสวยงามวิจิตรของหินที่ถูกน้ำเซาะมองเห็นเป็นภาพศิลปะ บางแห่งใหญ่ขนาดเป็นสระว่ายน้ำ บางแอ่งขนาดเล็ก มีรูปร่างลักษณะที่แตกต่างกันออกไป
อุบลราชธานี
 
สามพันโบก อุบลราชธานี
 
อุบลราชธานี
 
สามพันโบก อุบลราชธานี

          หินบางก้อนถูกกัดกร่อนคล้ายงานแกะสลักเป็นรูปสัตว์ รูปดาว รูปมิกกี้เมาส์ หรือรูปต่าง ๆ ตามแต่เราจะจินตนาการกว่า 3,000 โบกหรือแอ่งน้ำนั่นเอง โดยเฉพาะ "หินหัวสุนัข" ที่มีความสวยงามและดูคุ้นตามาก เพราะพี่เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ พรีเซ็นเตอร์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้มาถ่ายโฆษณาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ ฤดูท่องเที่ยวของที่นี่เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน – มิถุนายนของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวสามารถเห็นแก่งหินโผล่พ้นน้ำอวดความงดงามมากที่สุด

อุบลราชธานี
 
 อุบลราชธานี

          ชม สามพันโบก เสร็จแล้วก็มาต่อด้วย เสาเฉลียงใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ที่ บ้านผาชัน ตำบลสำโรง อำเภอโพธิ์ไทร เป็นเสาหินทรายขนาดใหญ่สองต้นติดกัน มีแผ่นหินเทินอยู่ด้านบน รูปทรงคล้ายดอกเห็ดยักษ์สองต้น มีเส้นรอบวง 30 เมตร สูงถึง 20 เมตร นับเป็นเสาเฉลียงที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จากนั้นตรงมาอีกไม่ไกลก็จะพบกับ บ้านผาชัน เป็นแก่งหินสูงเหมือนหน้าผา สามารถเดินลัดเลาะลงมาจากด้านบนถึงแม่น้ำได้ ตามทางค่อนข้างชัน ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะลงไปจับปลาและหาเห็ดกัน

อุบลราชธานี
 
 อุบลราชธานี
อุบลราชธานี

อุบลราชธานี
 
 
          ต่อมาก็ไปเที่ยว ปากบ้อง จุดที่แม่น้ำโขงแคบที่สุด มีลักษณะเป็นหน้าผาหินที่เกิดจากรอยแยกตัวของแผ่นหินทรายเปลือกโลกลักษณะเหมือนคอขวด และเป็นส่วนที่แคบที่สุดคือ 56 เมตร ก่อนะจะไปชม หินหัวพะเนียง ซึ่งอยู่ถัดจากบริเวณปากบ้องขึ้นไปทางเหนือ เป็นเกาะกลางแม่น้ำโขง ทำให้แม่น้ำโขงแยกออกเป็นสองสายหรือสองคอนในภาษาท้องถิ่น จึงเป็นที่มาของชื่อ บ้านสองคอน มีลักษณะเป็นลานหินปนทราย ก้นหินมีลักษณะสีดำปนสีประกายของแร่เหล็ก เป็นผาสูงชันชัน สูงจากผิวน้ำประมาณ 7-8 เมตร


อุบลราชธานี
 
 อุบลราชธานี
อุบลราชธานี
อุบลราชธานี
อุบลราชธานี
 
 อุบลราชธานี
          ก่อนเที่ยวปิดท้ายที่ ลานหินสี หรือ ทุ่งหินเหลื่อม อยู่ทางใต้ของสามพันโบก เป็นกลุ่มหินสีที่มีลักษณะแปลกตา คือหินแต่ละก้อนจะมีผิวเรียบ เป็นมันประกอบด้วยสีเหลือง เขียว ม่วง น้ำเงิน มีขนาดเล็กใหญ่คละเคล้ากันไปกระจายเป็นกลุ่ม 3 กลุ่มใหญ่ และ ผาหินศิลาเลข ร่องรอยประวัติศาสตร์สมัยฝรั่งเศสเรืองอำนาจในแถบอินโดจีน ฝรั่งเศสได้นำเรือกลจักรไอน้ำขนส่งสินค้า จึงทำสัญลักษณ์แกะสลักตัวเลขที่หน้าผาหินสำหรับบอกระดับน้ำในแม่น้ำโขง เพื่อความปลอดภัยในการเดินเรือ ด้วยเมื่อหน้าน้ำหลากบริเวณนี้จะมีแนวหินโสโครกจำนวนมาก

          และนี่คือสถานที่ท่องเที่ยวแบบหิน หิน ในถิ่นอุบลราชธาน


  

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก


เขียนโดย TAP TAP Broadcasting
พระแก้วนพรัตน์ พระแก้วศักดิ์สิทธิ์ 9 องค์แห่งอุบลราชธานี

ตามหา พระแก้วนพรัตน์ พระแก้วศักดิ์สิทธิ์ 9 องค์แห่งอุบลราชธานี

               ตั้งแต่ทำเว็บไซต์ไกด์อุบลดอทคอม ผมมีโอกาสไปทำข่าวงานต่างๆ มากมาย ซึ่งทำให้ได้พบพานกับเรื่องสำคัญๆ ของเมืองอุบลฯ ทั้งจากตำรับตำราที่หาอ่านได้ และจากนักปราชญ์ของเมืองอุบล โดยเฉพาะคุณพ่อสุวิชช  คูณผล หนึ่งในเรื่องราวแห่งความภาคภูมิใจ คือการได้ทราบว่า เมืองอุบลราชธานี เป็นเมืองแห่งศาสนาอย่างแท้จริง สมกับคำขวัญท่อนหนึ่งของจังหวัดที่ว่า "ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม" ได้มีโอกาสกราบพระแก้วโบราณอายุมากกว่า 200 ปี หลายองค์ ตั้งแต่ พระแก้วบุษราคัม  พระแก้วไพฑูรย์    พระแก้วโกเมน   และพระแก้วขาวเพชรน้ำค้าง ที่กล่าวมานี้ ไม่สามารถกราบนมัสการได้ในคราวเดียว ต้องใช้เวลาตามแต่โอกาสอันเหมาะสมที่วัดต่างๆ ที่ครอบครองจะอัญเชิญพระแก้วลงมาเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนกราบไหว้               เมื่องานสงกรานต์ ปี 2555 ที่ผ่านมานี้ ภายหลังจากที่ทราบว่า เดิมมีพระแก้วนิลกาฬอยู่ก่อนแล้ว  ปีนี้ได้พบพระแก้วอีก 1 องค์ มีลักษณะสีเขียวเหมือนแก้วมรกต  ทำให้นึกถึงเรื่องราวที่คุณพ่อสุวิชช เคยเล่าให้ฟัง และได้เขียนไว้ในบทความ "อุบลบานเบ่งเกสรขจรไกล" เรื่อง พระแก้วสำคัญของเมืองอุบล และเรื่อง "นพรัตน์ (แก้วเก้าประการ)" ที่คุณพ่อสุวิชช แนะนำวิธีจดจำแก้วเก้าประการ ดังนี้
               สีขาวผ่อง เพชรดี  ทับทิมสี มณีแดง  เขียวใสแสง มรกต  เหลืองใสสด บุษราคัม  แดงแก่ก่ำ โกเมนเอก  สีหมอกเมฆ นิลกาฬ  มุกดาหาร หมอกมัว  แดงสลัว เพทาย  สังวาลย์สาย ไพฑูรย์ ทำให้ผมกลับมาเปรียบเทียบกับพระแก้วที่เคยถ่ายไว้ ดังนี้
สีขาวผ่อง เพชรดี
พระแก้วขาวเพชรน้ำค้าง วัดสุปัฏนารามวรวิหาร
               พระแก้วขาวเพชรน้ำค้างองค์นี้ เป็นพระปางสมาธิสูง 17 ซ.ม. เนื้อองค์เป็นแก้วผลึกสีขาวใส ซึ่งความใสขององค์พระประดุจน้ำค้างยามเช้าเปล่งแสงแวววาวในตัวเอง ดุจประกายเพชร จึงได้ชื่อว่า “ พระแก้วเพชรน้ำค้าง ” ฉลององค์ด้วยทองคำเป็นบางส่วน เพื่อความสวยงามและทรงคุณค่า 
               ในช่วงปี พ.ศ. 2485 เจ้าพระคุณคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) ได้ขึ้นมาจำพรรษาที่วัดสุปัฎนาราม ได้มอบพระแก้วขาวองค์ศักดิ์สิทธิ์องค์นี้ให้เป็นสมบัติอันล้ำค่าของวัดสุปัฎ นาราม 
               พระรัตนมงคลนี้ เจ้าอาวาสวัดสุปัฎฯ ปัจจุบันสันนิษฐานว่า หลายฝ่ายทางโบราณคดี และพุทธลักษณะขององค์พระ คาดว่า “ พระแก้วขาวเพชรน้ำค้าง ” น่าจะเป็นรุ่นเดียวกับ “ พระแก้วบุษราคัม ” โดยยึดหลักจาก ตำนานการมาตั้งถิ่นฐานของเมืองอุบลฯ เมื่อ 200 ปี เศษมาแล้ว บรรพบุรุษผู้มาสร้างเมืองได้อันเชิญมาเพื่อเป็นสิริมงคลในการเดินทางอันยาว ไกล และเป็นขวัญกำลังใจในการสู้รบกับศัตรูผู้รุกรานจนสร้างบ้านเมืองได้เป็น หลักแหล่งเท่าทุกวันนี้ 
               มีการอัญเชิญพระแก้วขาว วัดสุปัฎนารามฯ ลงให้สาธุชนสรงน้ำขอพรปีใหม่สากล 31 ธันวาคม ถึง 2 มกราคม ของทุกๆ ปี
ทับทิมสี มณีแดง  
               ยังไม่มีข้อมูลของพระองค์นี้ครับ


เขียวใสแสง มรกต  
               ภาพนี้ถ่ายไว้ในปี 2555 ล่าสุด ในงานสรงน้ำพระ ประเพณีสงกรานต์เมืองอุบลฯ ที่วัดเลียบ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี พระครูอุบลคณาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดเลียบ บอกว่ามีโยมมาถวายไว้ พุทธลักษณะคล้ายพระแก้วโกเมน วัดป่าน้อย
เหลืองใสสด บุษราคัม
               พระแก้วบุษราคัม เป็นพระพุทธรูปโบราณ อายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 22-23 หน้าตักกว้าง 3 นิ้ว สูง 4 นิ้ว ปางมารวิชัย สมัยเชียงแสน แกะสลักจากแก้วบุษราคัม 
               ตามตำนานเล่ากันว่า พระวรราชภักดี (พระวอ) พร้อมด้วยบุตรหลานของพระตา คือเจ้าคำผง เจ้าทิดพรหมและเจ้าก่ำ บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งเมืองอุบลราชธานี ได้เชิญพระแก้วบุษราคัมมาจากกรุงศรีสัตนาคณหุต (เวียงจันทน์) เดิมทีพระแก้วบุษราคัมประดิษฐานอยู่ที่บ้านดอนมดแดง และได้อัญเชิญมาประดิษฐานอยู่วัดศรีอุบลรัตนาราม พร้อมทั้งได้อัญเชิญพระแก้วบุษราคัมเป็นองค์ประธานในพิธีอันสำคัญยิ่งทาง ราชการ โดยถือว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองสืบกันมาแต่โบราณกาล 
               ปัจจุบันในเทศกาลสงกรานต์ของทุกปี ชาวอุบลจะร่วมใจกันอัญเชิญพระแก้วบุษราคัมแห่ไปรอบเมืองอุบลราชธานี เพื่อเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชน ได้นมัสการกราบไหว้และสรงน้ำกันโดยถ้วนหน้า
แดงแก่ก่ำ โกเมนเอก
               ได้รับการบอกเล่าสืบต่อกันมาฟังได้ว่า พระแก้วโกเมนอุบัติขึ้นพร้อมกับพระแก้วบุษราคัม ซึ่งประดิษฐานอยู่วัดศรีอุบลรัตนรามปัจจุบัน เป็นพระพุทธรูปอัญมณีในตระกูลแก้วเก้า ประการ คือ เพชร มณี มรกต บุษราคัม โกเมน นิลกาฬ มุกดาหาร เพทาย และไพฑูรย์ 
          เมื่อสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยมีสงครามกับเวียงจันทน์ ผู้รักษาการบ้านเมืองและทายก-ทายิกา ได้พากันนำพระแก้วโกเมนไปรักษาไว้อย่างดีที่วัดบ้านกุดละงุม อำเภอวารินชำราบปัจจุบัน และคณะผู้รักษาพระแก้วโกเมน ได้นำท่อนไม้จันทร์มาทำเป็นผอบใหญ่ คว่ำองค์พระพุทธรูปไว้ ด้วยเกรงว่าข้าศึกจะแย่งชิงไป ครั้งเมื่อศึกสงบลงจึงได้นำพระแก้วโกเมนมาประดิษฐานไว้ ณ วัดมณีวนาราม ซึ่งเจ้าอาวาสและคณะกรรมการวัดเก็บรักษาไว้เป็นความลับสืบต่อกันมา 
          ทั้งนี้ เนื่องด้วยพระแก้วโกเมนเป็นพระพุทธรูปที่มีค่าหาได้ยากยิ่ง เกรงจะสูญหาย จึงหวงแหนด้วยความห่วงใย พระเดชพระคุณเจ้าอาวาสวัดมณีวนารามที่ผ่านมาทุกรูป จึงเก็บรักษาพระแก้วโกเมนไว้ในตู้นิรภัยตลอดมา ครั้งเมื่อสิ้นสมัยหลวงปู่พระธรรมเสนานี (กิ่ง มหับผโล) คณะกรรมการ วัดจึงขออนุญาตนำพระแก้วโกเมนลงมาประดิษฐานให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชา และสรงน้ำในเทศกาลวันวิสาขบูชา เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนและครอบครัว และได้ถือปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
สีหมอกเมฆ นิลกาฬ  
               จากการสัมภาษณ์ พระครูอุบลคณาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดเลียบ เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2554 ท่านได้เล่าถึงที่มาของพระแก้วนิลกาฬ จากการได้พบกล่องลายไม้สักโบราณ ในขณะที่เป็นเจ้าอาวาสในปี พ.ศ.2545 โดยค้นพบบนฝาเพดานกุฎิสุขสวัสดิ์มงคลซึ่งเป็นกุฎิหลังเก่าของวัดเลียบ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งท่านได้พบพระพุทธรูป 3 องค์ ได้แก่ พระพุทธรูปบุเงิน 2 องค์ และ พระแก้วนิลกาฬ 1 องค์ 
               ท่านได้อัญเชิญมาให้ญาติโยมพุทธศาสนิกชนสรงน้ำสงกรานต์ เมื่อพ.ศ.2549 เป็นต้นมา และได้จัดทำเครื่องทรงชฎา มงกุฎทองคำ ซึ่งทำจากพลอยแท้ ทองคำแท้ ถวายในภายหลัง
มุกดาหาร หมอกมัว  
แดงสลัว เพทาย  
               สองอัญมณีพระนพรัตน์ข้างต้น ยังไม่มีข้อมูลครับ

สังวาลย์สาย ไพฑูรย์ 
               พระแก้วไพฑูรย์ แห่งเมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัยประเทศราชนี้ เป็นพระแก้วเกิดจากหินธรรมชาติ มีอายุหลายล้านปีมาแล้ว เป็นพระพุทธรูปที่อยู่ในการปกครองของเจ้านายเมืองอุบลมานาน แต่บรรพบุรุษของพระปทุมวราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง) ได้ถวายเป็นสมบัติของวัดหลวงคู่กับพระแก้วบุษราคัม เมื่อเจ้านายทางกรุงเทพมหานครมาปกครองเมืองอุบล ในสมัยรัชกาลที่ 5 เจ้านายพื้นเมืองอุบลราชธานีเกรงว่าเจ้านายทางกรุงเทพจะบังคับเอาพระแก้ว ทั้งสององค์ไปเป็นสมบัติของส่วนตัว จึงได้พากันเอาพระแก้วทั้งสององค์แบกออกจากกันไปซ่อนไว้โดยมิดชิด ไม่ยอมแพร่งพรายให้คนทั่วไปรู้ 
          ต่อมาเมื่อสร้างวัดศรีอุบลรัตนาราม (วัดศรีทอง) โดยเจ้าอุปฮาชโท บิดาของพระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ ณ อุบล) จึงได้ไปเชิญเอาพระแก้วทั้งสองออกมาจากที่ซ่อน สำหรับพระแก้วบุษราคัมนั้น ได้ถวายแด่พระเดชพระคุณพระเทวธัมมี (ม้าว) ซึ่ง เป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดศรีทอง (วัดศรีอุบลรัตนาราม) และเป็นลัทธิวิหาริกของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 มาจากกรุงเทพคงจะมีความเกรงใจไม่กล้าที่จะขอเอาพระแก้วบุษราคัม พระแก้วไพฑูรย์ไปจากเมืองอุบลราชธานี 
          ส่วนพระแก้วไพฑูรย์นั้น ทายากของเจ้านายพื้นเมืองอุบลราชธานีเอาไปเก็บรักษาไว้ เพราะเป็นสมบัติอันล้ำค่าของบรรพบุรุษ ต่อมาภายหลังจึงได้นำมาถวายพระครูวิลาสกิจจาทร เจ้าอาวาสวัดหลวงให้เป็นสมบัติของวัดหลวงตามเดิม ดังปรากฏอยู่ทุกวันนี้ นับว่าพระไพฑูรย์องค์นี้เป็นสมบัติของวัดหลวง และของเจ้านายเมืองอุบลราชธานีมาแต่โบราณโดยแท้ 
          พระแก้วไพฑูรย์เป็นหนึ่งในแก้วอันเป็นรัตนชาติ หากจะยกองค์พระขึ้นส่องจะเห็นเป็นคล้ายสายฝนหยาดลงมาจากฟ้าอันเป็นนิมิตหมายแห่งความอุดมสมบูรณ์ ฝนตกตามฤดูกาล
               หากนับข้อมูลจากพระแก้วสำคัญที่ค้นพบ และสามารถบันทึกภาพไว้ได้นี้ เท่ากับว่าในตระกูลพระแก้วนพรัตน์นั้น จังหวัดอุบลราชธานีมีพระแก้วแล้ว 6 องค์ คือ เพชรขาว มรกต บุษราคัม โกเมนเอก นิลกาล ไพฑูรย์ ยังคงขาดรัตนชาติอีก 3 องค์ ได้แก่ ทับทิมแดง มุกดาหาร และเพทาย ครับ หากท่านใดมีโอกาสมาเยือนเมืองอุบลาชธานี ลองจัดรายการท่องเที่ยวกราบพระแก้วโบราณสำคัญของเมืองอุบลฯ กันครับ หรือหากมีข้อมูลเพิ่มเติมพระแก้วอีก 3 องค์ จะกรุณาแจ้งไกด์อุบล โทร.080-4850511 จักขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
เขียนโดย TAP TAP Broadcasting






          งานประเพณีแห่เทียนพรรษา เป็นประเพณีทางพุทธศาสนา ของชาวอุบลฯ ซึ่งมีความเจริญในพุทธศาสนา วัฒนธรรม และประเพณีมาเป็นเวลายาวนาน ถือเป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจังหวัดอุบลราชธานี โดยได้กำหนดจัดงานขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 และแรม 1 ค่ำเดือน 8 หรือวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา จัดให้มีขึ้นทุกปี
          จากการสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ ได้ความว่า ชาวอุบลราชธานี ได้ทำต้นเทียนประกวดประชันความวิจิตรบรรจงกัน ตั้งแต่ พ.ศ.2470 จนเมื่อปี พ.ศ.2520 จังหวัดอุบลราชธานี ได้จัดงานสัปดาห์ประเพณีแห่เทียนพรรษา ให้เป็นงานประเพณีที่ยิ่งใหญ่และมโหฬาร สถานที่จัดงานคือ บริเวณทุ่งศรีเมืองและศาลาจตุรมุข มีการประกวดต้นเทียน 2 ประเภท คือ ประเภทติดพิมพ์ และประเภทแกะสลัก โดยขบวนแห่จากคุ้มวัดต่างๆ พร้อมนางฟ้าประจำต้นเทียน จะเคลื่อนขบวนจาก หน้าวัดศรีอุบลรัตนาราม ไปตามถนน มาสิ้นสุดขบวนที่ทุ่งศรีเมือง และการแสดงสมโภชต้นเทียน แลเป็นแสงไฟต้องลำเทียนงามอร่ามไปทั้งงาน ซึ่งตั้งแต่ปี พ.ศ.2542 เป็นต้นมา งานประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี มีชื่องานแต่ละปี ดังนี้
          ปี พ.ศ. 2542 มีชื่องานว่า "งานแห่เทียนพรรษา เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา มหาราชา" เนื่องจากเป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นที่มาของ "เทียนเฉลิมพระเกียรติฯ" ที่ทุ่งศรีเมือง
          ปี พ.ศ. 2543 มีชื่องานว่า "หลอมบุญบูชา ถวายไท้นวมินทร์" มีความหมายว่า การหล่อเทียนพรรษาของชาวอุบลฯ เพื่อบำเพ็ญกุศลร่วมกัน การหล่อหลอมจิตศรัทธาให้เป็นหนึ่งเดียว เปรียบประดุจการหลอมบุญบูชา เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายแด่องค์พระมหากษัตริย์
          ปี พ.ศ. 2544 มีชื่องานว่า "งามล้ำเทียนพรรษา ภูมิปัญญาชาวอุบลฯ" เนื่องจากเทียนพรรษาได้วิวัฒนาการไปจาก"ภูมิปัญญาดั้งเดิม" จนแทบจะจำเค้าโครงแต่โบราณไม่ได้ จึงได้มีการหันกลับมาทบทวนการจัดงานแห่เทียนพรรษา ตามภูมิปัญญาของชาวอุบลฯ ตั้งแต่เดิมมา
          ปี พ.ศ. 2545 มีชื่องานว่า "โรจน์เรือง เมืองศิลป์" ด้วยเหตุที่ ททท.ได้เลือกงานแห่เทียนพรรษจังหวัดอุบลราชธานี เป็นงานที่โดดเด่นที่สุดของประเทศในเดือนกรกฎาคม ตามโครงการ "เที่ยวทั่วไทย ไปได้ทุกเดือน" จึงจัดให้มีกิจกรรมการท่องเที่ยวตลอดเดือน อาทิ ได้เชิญช่างศิลป์นานาชาติประมาณ 15 ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ จีน ญี่ปุ่น มาร่วมแข่งขันการแกะสลักขี้ผึ้งตามสไตล์งานศิลปะแต่ละชาติ มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก มาชมงานตลอดทั้งเดือนกรกฎาคม 2545 ชื่องาน "โรจน์เรือง เมืองศิลป์" เป็นคำย่อมาจากคำเต็มที่ว่า "อุบลฯ เมืองนักปราชญ์ รุ่งโรจน์ศาสตร์ เรืองรองศิลป์ ถิ่นไทยดี"
          ปี พ.ศ. 2546 มีชื่องานว่า "สืบศาสตร์ สานศิลป์" เนื่องจากงานประเพณีแห่เทียนพรรษาเป็นการ "สืบทอดศาสนาและสืบสานงานศิลปะ" ดังคำกล่าวที่ว่า "เทียนพรรษา คือ ภูมิศิลปะแห่งศรัทธา" เพื่อความกระชับ จึงใช้ ชื่อว่า "สืบศาสน์ สานศิลป์" แต่โดยเหตุที่มีผู้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า คำว่า "ศาสตร์" มีความหมายกว้างกว่า ชื่องานจึงเป็น "สืบศาสตร์ สานศิลป์" ด้วยเหตุนี้
          ปี พ.ศ. 2547 มีชื่องานว่า "ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามล้ำเทียนพรรษา เทิดไท้ 72 พรรษา มหาราชินี" เนื่องจากเป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนารถ พระแม่-แม่พระ ของแผ่นดิน
          ปี พ.ศ. 2548 มีชื่องานว่า "น้อมรำลึก 50 ปี พระบารมีแผ่คุ้มเกล้าฯ ชาวอุบลฯ" เนื่องจากเมื่อวันที่ 16-17 พฤศจิกายน 2498 ล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ ได้เสด็จเยือนอุบลราชธานี ยังความปลาบปลื้มปิติแก่ชาวอุบลฯ เป็นล้นพ้น เพราะตั้งแต่สร้างบ้านเมืองมาเกือบ 200 ปี ยังไม่เคยมีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดเสด็จเยี่ยม หรือทรงใกล้ชิดกับราษฎรอย่างไม่ถือพระองค์เช่นนี้ ชาวอุบลฯ ทุกหมู่เหล่า ต่างพร้อมน้อมรำลึกด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเหล้าล้นกระหม่อม พระบารมีแผ่คุ้มเกล้าฯ ชาวอุบลฯ ปิติล้นพ้น ตลอดระยะเวลา 50 ปี ที่ผ่านมาและตลอดไป
          ปี พ.ศ. 2549 มีชื่องานว่า "60 ปี พระบารมีแผ่ไพศาล งามตระการเทียนพรรษา เทิดราชัน" เพื่อแสดงความจงรักภักดี ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี
          ปี พ.ศ. 2550 มีชื่องานว่า "ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม เลิศล้ำ เทียนพรรษา ปวงประชาพอเพียง"  เนื่องจากเป็นปีมหามงคล เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อพสกนิกรปวงชนชาวไทย และการน้อมนำแนวพระราชดำรัสมาใช้ดำรงชีวิต
          ปี พ.ศ. 2551 มีชื่องานว่า "เมืองอุบลบุญล้นล้ำ บุญธรรม บุญทาน สืบสานตำนานเทียน"   เนื่องจากอุบลราชธานี มีสมญานามว่า "เมืองแห่งดอกบัวงาม" ซึ่งดอกบัว เป็นพฤกษชาติที่มีคติธรรมทางพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง อุบลราชธานีจึงมีวัฒนธรรมประเพณี ทำบุญทุกๆ เดือน คือการยึดถือ ฮีตสิบสองคองสิบสี่ (ฮีตสิบสอง คือจารีตที่ปฏิบัติแต่ละเดือน ตลอดปี จนเป็นประเพณีสืบต่อมา) ประเพณีแต่ละอย่างในฮีตสิบสอง ล้วนมีแต่ชื่อ ขึ้นต้นว่าบุญ หมายถึง ประเพณีที่มุ่งการทำบุญเป็นสำคัญ อุบลราชธานีจึงมี บุญล้นล้ำ ทั้งบุญธรรม บุญทาน อีกทั้ง งานประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี ก็มีมาแต่โบราณ โดยเริ่มจากในสมัยแรกๆ เป็นเทียนเวียนหัว มัดรวมติดลาย วิวัฒนาการมาจนเป็น หลอมเทียน หลอมใจ หลอมบุญ สืบสานมาจนถึงปัจจุบัน จึงเป็นที่มาของชื่องานประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี ปี 2551
          ปี พ.ศ. 2552 มีชื่องานว่า "ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม บุญล้ำเทียนพรรษา ประชาพอเพียง"   เนื่องจากอุบลราชธานีเป็น "อู่อารยวัฒนธรรม อุดมอรียทรัพย์ อริยสงฆ์ รุ่งโรจน์ศาสตร์ เรืองรองศิลป์ ถิ่นไทยดี" ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม จึงเป็นความรุ่งเรือง สว่างไสว อุดมสมบูรณ์ ในธรรมที่สำคัญยิ่ง 3 ประการ คือ พุทธธรรม อารยธรรม และธรรมชาติ ประกอบกับ การทำบุญเข้าพรรษาที่อุบลราชธานี มีชื่อเสียงมานานนับร้อยปี จึงเป็นที่รวมทำบุญเข้าพรรษาของประชาชนทัวประเทศ รวมถึงนักท่องเที่ยวทั่วโลก ท่านที่มาทำบุญเดือนแปดที่เมืองอุบลฯ จึงเป็นการบำเพ็ญกุศล ได้รับ "บุญล้ำเทียนพรรษา" โดยทั่วหน้ากัน พร้อมกันนี้ ยังได้เสนอเน้นคำขวัญ ประชาพอเพียง ซึ่งเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ประชาชนพลเมือง จะมีความ พอเพียง ได้ ก็ด้วยคุณธรรมความพอเพียง ตามปรัชญาเศรษฐกิจพิเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำชีวิตให้อยู่ดีมีสุข ไม่มีความฟุ้งเฟ้อ ทะเยอทะยาน ยินดีในสิ่งที่ได้ พอใจในสิ่งที่มี งเป็นที่มาของชื่องานประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานี ปี 2552
          ปี พ.ศ. 2553 มีชื่องานว่า "ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม งามล้ำเทียนพรรษา ภูมิปัญญาชาวอุบล"   เนื่องจากเมืองอุบลราชธานี มี “ธรรม” 3 ประการ คือพุทธธรรม ชาวอุบลฯ มีความฝักใฝ่ในธรรม อารยธรรม คืออุดมด้วยอารยทรัพย์ อารยสงฆ์ และธรรมชาติ ตามถิ่นที่ตั้งเมืองอุบล คือ ดงอู่ผึ้ง จึงเป็นความรุ่งเรือง หรือ "ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม" และที่ตั้งเมืองของจังหวัดอุบลราชธานี คือ ดงอู่ผึ้ง ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญในการทำเทียนพรรษา รวงผึ้งอุดมสมบูรณ์มาก สำนักพระราชวัง ได้นำขี้ผึ้งจากจังหวัดอุบลฯ ไปเพื่อทำเทียนพระราชทาน ประกอบกับ อุบลราชธานีมีสกุลช่างทุกสาขาวิชาช่างศิลปะ จึงสามารถรังสรรค์เทียนพรรษา ออกมาได้อย่างวิจิตรบรรจงตามจินตนาการ งามล้ำเทียนพรรษา และเนื่องจากประเพณีแห่เทียนพรรษาเกิดจาก ภูมิปัญญาชาวอุบลฯ  เป็น “ภูมิปัญญาชาวบ้าน” สืบสานเป็น “ภูมิปัญญาท้องถิ่น” ก่อให้เกิด “ภูมิพลังเมือง” สร้างชุมชนให้เข้มแข็ง ประชาคมเป็นปึกแผ่นมั่นคง แก้ไขปัญหาสำคัญของชาติได้ในการร่วมเป็น “ภูมิพลังแผ่นดิน”
          ปี พ.ศ. 2554 มีชื่องานว่า "ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม งามล้ำเทียนพรรษา ภูมิปัญญาชาวอุบล"   ใช้ชื่องานต่อเนื่องจากงานประเพณีแห่เทียนพรรษา ปี 2553 กำหนดจะจัดงานระหว่างวันที่ 1-31 กรกฎาคม 2554 ณ บริเวณสนามทุ่งศรีเมือง โดยปีนี้จะมีความพิเศษกว่าทุกปี คือ มีการจัดทำต้นเทียนพรรษาเฉลิมพระเกียรติ เป็นการนำเทียนประเภทแกะสลักและติดพิมพ์ มารวบรวมในต้นเทียนเดียวกัน โดยฝีมือช่างเทียนระดับอาจารย์ 9 ท่าน มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็น การเฉลิมฉลองในวโรกาส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุครบ 84 พรรษา และเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีของพสกนิกรชาวจังหวัดอุบลราชธานี
          ปี พ.ศ. 2555 มีชื่องานว่า "111 ปี ลือเลื่อง ฮุ่งเฮืองเมืองธรรม งามล้ำเทียนพรรษา ภูมิปัญญาชาวอุบล"   เพื่อรำลึกในโอกาสครบรอบ 111 ปี นับจากที่กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงต่างพระองค์ในหัวเมืองมณฑลอีสาน ได้ดำริให้มีการแห่ขบวนเทียนพรรษารอบเมืองเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2444 สำหรับปีนี้ กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม ถึงวันที่ 5 สิงหาคม 2555 ณ บริเวณสนามทุ่งศรีเมือง
เขียนโดย TAP TAP Broadcasting
ขับเคลื่อนโดย Blogger.